Thursday, January 25, 2007

Sketch Design




อาจารย์ค่ะ งานของเล่นชิ้นนี้ทำจากไม้ไผ่ทั้งหมด การเขียนแบบหรือกำหนดขนาดนั้น จะต้องไปวัดขนาดจากของจริงก่อนหรือเปล่าค่ะ หรือว่าจะต้องกำหนดขนาดในการเขียนแบบคร่าวๆก่อน เมื่อถึงเวลาผลิตผลงานจริงขนาดของไม้ไผ่ที่กำหนดในการเขียนแบบ น่าจะหาให้พอดียาก แต่ถ้าหาขนาพใกล้เคียงกับที่กำหนดจะได้ไหมค่ะ หรือ จะต้องปฎิบัติผลงานจริงออกมาก่อนแล้วจึงกำหนดขนาดในการเขียนแบบทีหลังซึ่งวัดขนาดจริงจากไม้ไผ่ที่จะทำขึ้นมา ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ


Thursday, January 18, 2007

แนะนำตัว บทที่1,บทที่2

สวัสดีค่ะ อาจารย์จารุณี นู๋ชื่อนางสาวศิริมา เก้าอุดม 46110946(กอล์ฟ) เอกศิลปศึกษา คบ.24(4)/4
มีความประสงค์จะส่งความคืบหน้างานเรื่อง โครงการออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่ สำหรับเด็กปฐมวัย บทที่ 1 และ บทที่ 2



บทที่1
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของโครงการ
มนุษย์เราเริ่มรู้จักการประดิษฐ์ของเล่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อให้ลูกหลานได้มีของเล่น ซึ่งของเล่นในสมัยโบราณนั้น ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือลงทุนในการเล่นแม้แต่น้อย เพราะ พ่อ แม่ ปู่ ยา ตา ยาย ในสมัยนั้นสามารถประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุธรรมชาติ ให้ลูกหลานได้หลายอย่าง เช่น การนำก้านกล้วยมาประดิษฐ์เป็นม้าก้านกล้วย หรือทำเป็นปืนก้านกล้วย การนำกะลามะพร้าวมาทำเป็นของเล่นเพื่อใช้เดินแข่งกัน ซึ่งของเล่นแต่ละอย่างนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามวัสดุที่ทำขึ้น เมื่อสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตภาพรวมของสังคมไทยมีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม ลักษณะการเล่นของเล่นสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนั้น เด็กมักเล่นกับสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีลักษณะเป็นสังคมอุตสาหกรรมมากขึ้น รูปแบบของการละเล่นและของเล่นได้เปลี่ยนแปลงไป จากการละเล่นและของเล่นพื้นบ้าน กลายเป็นของเล่นสำเร็จรูปที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประดิษฐ์ ทำจากพลาสติก โลหะหรือไม้ที่มีสีสัน สวยงาม ทำให้เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักของเล่นที่ประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติเท่าที่ควรและอาจจะส่งผลทำให้ของเล่นโบราณนั้นสูญหายไปตามกาลเวลา
โดยทั่วไปของเล่นและการเล่น เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเด็กมาช้านาน มีคุณค่าต่อการเรียนรู้และส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา เนื่องจากในวัยเด็กโดยเฉพาะอายุระหว่าง 3 - 6 ปี เป็นช่วงที่สำคัญต่อการวางรากฐานพัฒนาการและบุคลิกภาพ ดังนั้นประสบการณ์ที่เหมาะสม จะทำให้เด็กเติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ การเล่นก็เปรียบเสมือนกับการทำงานของเด็ก โดยเด็กมักอาศัยของเล่นเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการเล่น และการสร้างจินตนาการในการเล่น ในการออกแบบของเล่นไม้ไผ่โบราณเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้นั้นได้นำเอาวัสดุจากธรรมชาติมาสร้างเป็นผลงานเพื่อให้เด็กได้เล่นและเรียนรู้ประโยชน์จากวัสดุธรรมชาติและเห็นคุณค่าตระหนักถึงความสำคัญของของเล่นโบราณที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ
จากประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ โครงการออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่ สำหรับเด็กปฐมวัย ทำให้ย้อนนึกไปถึงอดีต ภาพรวมของบรรยายกาศความเป็นไทยแต่โบราณที่เด็กๆได้รวมกลุ่มกันเล่นของเล่นที่ได้จากวัสดุพื้นถิ่น ซึ่งทุกบ้านทุกหลังคาเรือนของชาวบ้านในสมัยนั้นจะต้องประดิษฐ์ของเล่นไว้ให้ลูกหลานของตนเองได้เล่น ทำให้ต้องมองไปถึงอนาคตข้างหน้าต่อไปว่าภาพบรรยากาศแบบไทยๆนี้จะหลงเหลือให้เด็กรุ่นให้ได้เห็นได้ชื่นชมเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้อีกนานหรือไม่ ถ้าไม่ช่วยกันสืบทอดความเป็นไทยด้วยการอนุรักษ์ของเล่นโบราณให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักต่อไป จึงสนใจที่จะศึกษาและสร้างชุดความรู้เกี่ยวกับของเล่นพื้นบ้านเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ทั้งในสังคมเมืองและชนบทได้เห็นถึงคุณค่าของ "ของเล่นไม้ไผ่" และสร้างองค์ความรู้ที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสำคัญในการทำงานครั้งนี้
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษากระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย
2. เพื่อนำเสนอกระบวนการในการออกแบบผลิตภัณฑ์ของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่สำหรับเด็กปฐมวัย
3. เพื่อผลิตผลงานต้นแบบเหมือนจริง (prototype) ของผลิตภัณฑ์ของเล่นที่ได้จากวัสดุไม้ไผ่สำหรับเด็กปฐมวัย


สมมุติฐานและแรงบันดาลใจ
การทำของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่ จึงเป็นรูปแบบที่ผู้ศึกษาเลือกใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานจากการศึกษาพบว่าการนำเอาไม้ไผ่ที่หลงเหลือจากการทำเฟอร์นิเจอร์สามารถนำมาทำประโยชน์ได้มากกว่าที่จะทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งจังหวัดปราจีนบุรีมีไม้ไผ่เหลือจากการทำเฟอร์นิเจอร์ส่งออกต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าจึงได้เกิดแนวคิดและแรงบันดาลใจอยากจะหยิบยกเอาเศษไม้ไผ่เศษวัสดุเหลือใช้ที่หลงเหลือมาประดิษฐ์มาประดิษฐ์สิ่งของให้มีคุณค่านั่นคือของเล่น ซึ่งของเล่นที่สร้างสรรค์ขึ้นนี้ นอกจากจะสืบทอดสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของคนไทยแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักของเล่นที่ได้จากวัสดุธรรมชาติอีกด้วย อีกทั้งสามารถพัฒนารูปแบบของเล่นผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะซึ่งเป็นตัวกำหนดรูปแบบให้เกิดเป็นงานร่วมสมัยขึ้นโดยรูปแบบของของเล่นจะมีรูปแบบดังนี้
1. ลักษณะของผลงาน มีส่วนประกอบของไม้ไผ่เป็นหลัก
2. ของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่ 1 ชิ้น ขนาด 40x60 เซนติเมตร 1 ชิ้น
3. ลักษณะของเล่นสามารถโยกได้


ของเขตโครงการ
แนวความคิด ( Concept ) ในการออกแบบของเล่นไม้ไผ่โบราณ จำเป็นจะต้องสื่อให้เด็กในสมัยปัจจุบันได้เรียนรู้และมีจนการเกี่ยวกับการเล่นของเล่นโบราณ ซึ่งเด็กในสมัยปัจจุบันไม่ค่อยรู้จักหรือเห็นของเล่นโบราณในสมัยก่อนซึ่งประดิษฐ์ขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ ไม้ไผ่จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการประดิษฐ์เพราะหาง่ายและประหยัดต้นทุนในการผลิต จึงขอเสนอขอบเขตในการทำงานดังนี้
1.แบบร่างของเล่น
2.แบบที่พัฒนา
3.ผลงาน 1 ชุด ( ของเล่นไม่ไผ่ขนาด 40x60 เซนติเมตร 1 ชิ้น )
4. เอกสารภาคนิพนธ์

วิธีการที่จะดำเนินการทำโครงการทั้งหมดโดยย่อ
วิธีการที่จะดำเนินการทำโครงการทั้งหมดโดยย่อ
1. ศึกษาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง
2. การศึกษาจากตัวอย่าง กรณีศึกษา ( CASE STUDY )
3. ร่างแบบและพัฒนาแบบ ( IDEA SKETCH )
4. ผลิตผลงานจริง ( PROTOTYPE )
5. นำเสนอผลงานและเอกสารประกอบ

แหล่งศึกษาข้อมูล
1. สำนักวิทยบริการสถาบันราชภัฎจันทรเกษม
2. หอสมุดแห่งชาติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์
3. หอสมุดแห่งชาติมหาวิทยาลัยศิลปกรท่าพระจันทร์
4. หอสมุดแห่งชาติ
5. ช่างทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่จังหวัดปราจีนบุรี

กลุ่มเป้าหมาย
นิสิต นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไปที่สนใจศึกษา

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. กระบวนการในการออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่ไม้ไผ่
2. ได้ผลงานเหมือนจริง (PROTOTYPE ) ของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่ สำหรับเด็กปฐมวัย
3. ได้ส่งเสริมศิลปะและงานฝีมือ



บทที่ 2
การศึกษาความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ในการศึกษาข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องสำหรับการปฎิบัติการในโครงการออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่สำหรับเด็กปฐมวัยครั้งนี้ได้รวบรวมข้อมูลโดยแบ่งรายละเอียดดังนี้
1) ความหมายและประเภทของงานออกแบบผลิตภัณฑ์
2) วัสดุและอุปกรณ์สำหรับงานออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่
3) กระบวนการออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่
4) ข้อมูลพื้นฐานของเด็กปฐมวัย

1. ความหมายและประเภทของงานออกแบบผลิตภัณฑ์
1.1 ความหมายการออกแบบ
การออกแบบ ( Design ) คือ การแก้ปัญหาและรู้หลักการการนำเอาศิลปะมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใช้สอยและเกิดความงาม ( จีรพันธ์ สมประสงค์.2544: 96)
การออกแบบ คือ การกำหนดความนึกคิดตามความต้องการที่แสดงออก ซึ่งเป็นไปในลักษณะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและรู้จักการแก้ไขสิ่งเดิมให้เกิดความเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยและการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย
การออกแบบเป็นกิจกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ หมายถึง สิ่งที่มีอยู่แล้วในความนึกคิด ( Idea ) อันอาจจะเป็นโครงการหรือรูปแบบที่นักออกแบบกำหนดขึ้น ด้วยการจัดท่าทางถ้อยคำ เส้น สี เสียง รูปแบบและวัสดุต่างๆ โดยมีเกณฑ์ทางความงาม
( สิทธิ์ศักดิ์ ธัญศรีสวัสดิ์กุล.2529:4)
จากความหมายข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า “ การออกแบบ ” คือ การกำหนดความสำเร็จไว้ในใจโดยคำนึงถึงวัสดุ วิธีการ และประโยชน์ใช้สอยให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมยุคปัจจุบันโดยมีเกณฑ์ทางความงาม
1.2 ความหมายของผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ ( Product ) คืออะไร จากพจนานุกรม ฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ให้ความหมายคำว่า “ผลิต” คือ เป็นนาม แปลว่า ทำให้เกิดผล และเป็นกริยาแปลว่า ผลิออก ออกผล งอกแล้ว ส่วนคำว่า “ภัณฑ์” คือ สิ่งของ เครื่องใช้ ดังนั้น คำว่า “ผลิตภัณฑ์” จึงหมายถึงสิ่งของหรือเครื่องใช้ที่ทำหรือประดิษฐ์ขึ้น หรือสร้างให้เกิดขึ้น สำหรับทางเคมีนั้น “ผลิตภัณฑ์” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจากปฎิกริยาเคมี สิ่งที่เกิดขึ้น ( Product )
จาก The Heritage Illustrated Dictionary อธิบาย คำว่า “Product ” ไว้ดังต่อไปนี้
- Product คือ สิ่งที่เกิดจากความพยายามของมนุษย์ หรือจากการทำงาน Mechanic หรือ เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ
- Product คือ ผลอันเกิดขึ้นโดยตรง
- Product ทางเคมี หมายถึงสารอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง หรือปฎิกริยาทางเคมี
- Product ทางคณิตศาสตร์ หมายถึง ผลลัพธ์ซึ่งได้จากวิธีคูณ
จาก New Webster,s Dictionary อธิบาย คำว่า “Product” ได้ดังนี้
- คือ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น ผลไม้ ผัก หรือ ธัญพืช
- คือ สิ่งที่เกิดจาดการใช้แรงงานทางกายภาพ หรือ ทางสมอง
- สิ่งที่เกิดในทางคณิตศาสตร์ เช่น ผลลัพธ์จากการคูณเลข 2 จำนวน
- คือ สิ่งที่เกิดในทางเคมี หมายถึง สารซึ่งเกิดจากปฎิกริยาเคมี
สรุปคำว่า “ผลิตภัณฑ์” คือ “สรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นความพยายามที่ประดิษฐ์ขึ้น ทำให้เกิดขึ้นจากแรงงานและสมองของมนุษย์ ตามความต้องการและความจำเป็น เพื่อความสะดวกสบายต่อการดำรงชีวิต”

1.3 การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) เป็นกระบวนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ใช้สอยที่ดีและมีความสวยงาม การออกแบบผลิตภัณฑ์นับว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทั้งนี้ ผลิตกัณฑ์จะสามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยมก็ต่อเมื่อนักออกแบบได้ใช้ความรู้ และต้องคำนึงถึงความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ และศิลปะหรือที่เรียกว่าทั้งศาสตร์และศิลป์ ( Science and Art ) ในปริมาณที่เท่าเทียมกัน
นอกจากนี้แล้วนักออกแบบยังต้องใช้จินตนาการ (Imagination) ตลอดจนความรู้ในสาขาอื่นร่วมในการออกแบบด้วย นักออกแบบต้องค้นคว้าเสาะหาถึงความต้องการ (Need) ที่แท้จริงที่ผู้บริโภคมีต่อตัวผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยทำการวิจัยตามกระบวนการที่เหมาะสม
การออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียวแต่บางครั้งก็เป็นการออกแบบเพื่อพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นก็นับว่าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เช่นกัน งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่


- งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์

- งานออกแบบครุภัณฑ์

- งานออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์

- งานออกแบบเครื่องใช้สอยต่างๆ

- งานออกแบบเครื่องประดับ อัญมณี

- งานออกแบบเครื่องแต่งกาย

- งานออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์

- งานออกแบบผลิตเครื่องมือต่าง ๆ ฯลฯ
1.4 ประเภทของงานออกแบบผลิตภัณฑ์
1.4.1 ผลิตภัณฑ์บริโภค หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องใช้สอยในบ้านในครัวเรือน หรือกิจกรรมบันเทิง รวมทั้งเครื่องไฟฟ้า เครื่องปะปา เครื่องให้ความสว่าง วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องเสียง เครื่องเรือน กระเป๋าถือ กระเป๋าเดินทาง ของเด็กเล่น ตลอดจนอุปกรณ์ทำสวน ฯลฯ
1.4.2 ผลิตภัณฑ์บริการ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องอุปกรณ์สำนักงานและธุรกิจบริการ สิ่งที่ใช้ในร้านค้า ภัตตาคาร ร้านตัดผม ตู้เครื่องดื่มชนิดหยอดเหรียญ เครื่องเติมน้ำมันเครื่องคิดเลข เครื่องเก็บเงิน เครื่องพิมพ์ดีด ฯลฯ
1.4.3 ผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกล หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทที่เป็นเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตในงานอุตสาหกรรม เกษตรกรรม เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ฯลฯ
1.4.4 ผลิตภัณฑ์คมนาคม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องใช้ในการเดินทางและขนส่ง ได้แก่ เครื่องบิน เรือโดยสาร เรือบรรทุกสินค้า เรือยนต์รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถลากเข็นต่างๆ ฯลฯ
ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ นักออกแบบจะต้องใช้ความพยายามที่จะทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สอยผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีความสบายทั้งการและใจ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใด ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณค่าของความเป็นมนุษย์ (Humen Value) นั่นเอง
1.5 ผลิตภัณฑ์จากวัสดุพื้นถิ่น งานผลิตภัณฑ์ของแต่ละพื้นถิ่นจะสามารถบอกประวัติความเป็นอยู่ ความเจริญของพื้นถิ่นนั้นๆได้ ซึ่งคนในสมัยก่อนมองเห็นประโยชน์จากสิ่งของใกล้ตัวที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ หวาย มะพร้าว ต้นกก ฯลฯ แล้วนำมาประดิษฐ์เพื่อใช้สอย แล้วจึงได้พัฒนารูปแบบเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการประดิษฐ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันจนกลายเป็นสินค้าสามารถสร้างรายได้และพัฒนาไปเป็นสินค้า OTOP ได้อีกด้วย ซึ่งงานผลิตภัณฑ์จากวัสดุพื้นถิ่นนั้นจำแนกประเภทตามจุดมุ่งหมายในการทำได้ 5 ประเภท ดังนี้
1.5.1 เครื่องใช้ ได้แก่ เครื่องใช้เพื่อยังชีพ เช่น การทำลอบ ไซ การถักแหเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น กระบุง กระจาด ตะกร้า ชะลอม กระติบ ตลอดจนกระทั่งการทำเครื่องปั้นดินเผาเช่น ครก โอ่ง กระถาง เตาไฟ ตู้ โต๊ะ ล้วนเริ่มมาจากความจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้น
1.5.2 เครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ การทอผ้าชนิดต่างๆ ตลอดจนเครื่องนอนด้วย ซึ่งในท้องถิ่นทุกภาคมีการทอผ้าทั้งสิ้น เช่น ผ้า ฝ้าย ผ้าไหม และผ้าใยผสม ซึ่งปัจจุบันยังนำผ้าพื้นเมืองจากหลายๆถิ่นไปทำเป้นกระเป๋า ผ้าปูโต๊ะ ปลอกหมอน ผ้ารองจาน และงานฝีมืออื่นๆอีกด้วย
1.5.3 เครื่องประดับ ได้แก่ กำไล ต่างหู แหวน สร้อย ที่ติดเสื้อ - ติดผม ซึ่งใช้วัสดุตั้งแต่ดิน เช่น ดินด่านเกวียน จ. นครราชสีมา เงินจากบ้านเขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ เครื่องถม
จ.นครศรีธรรมราช เปลือหอยจากจังหวัดภูเก็ต จนกระทั่งดอกไม้แห้ง ใบไม้แห้ง เมล็ดพืชต่างๆ ก็นำมาประดิษย์เป็นเครื่องประดับได้มากมายหลายชนิด
1.5.4 เครื่องตกแต่ง ได้แก่ กรอบรูป เครื่องแขวนต่างๆ แจกัน ดอกไม้ประดิษฐ์ตุ๊กตา ฯลฯ ซึ่งใช้วัสดุท้องถิ่นมาประดิษฐ์ได้ทั้งนั้น เช่น กรอบรูปจากกระดาษสา ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าปะเต๊ะ เครื่องแขวนจากเปลือกหอย รังไหม กระดาษสา แจกันดินเผา ราชบุรี ลำปาง ด่านเกวียนดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้า กระดาษ รังไหม ต้นโสน ไส้มันสำปะหลัง ตุ๊กตาชาวัง จาก จ.อ่างทอง ตุ๊กตาเซรามิก จาก จ.ลำปาง ตุ๊กตาจากเปลือกหอยจากจังหวัดทางภาคตะวันออกและทางภาคใต้
1.5.5 เครื่องเล่น ได้แก่ ของเล่นต่างๆ เช่น ตุ๊กตาผ้า ตุ๊กตากระดาษ ไม้แกะสลักเป็นสัตว์ ว่าว ไม้บล็อกต่อภาพ หน้ากาก หุ่นผ้า ( เกษร สุนทราเสรี, 2536:2 )
จากประเภทของผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาเป็นแนวทางที่ช่วยให้เราตัดสินใจที่จะทำผลิตภัณฑ์ใดๆ เพราะมีหลายประเภทให้เลือกพัฒนาหรือเลียนแบบซึ่งในประเทศไทยเราก็มีการประดิษฐ์และสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณมีการพัฒนารูปแบบและวิธีการมากขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆโดยใช้วัสดุพื้นถิ่นเป็นส่วนใหญ่

2. วัสดุและอุปกรณ์สำหรับงานออกแบบของเล่นไม้ไผ่
2.1 วัสดุพื้นถิ่น วัสดุที่นำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ ในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะแตกต่างกันตามลักษณะสภาพของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ผลิตภัณฑ์นอกจากจะมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านรูปแบบและประโยชน์ใช้สอย ผลิตภัณฑ์ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นถิ่นอีกด้วย
ไผ่ เป็นพืชสกุลหญ้าตระกูลปาล์มชนิดใบเดี่ยว ใบเล็กเรียวแหลม ต้นไผ่ไม่มีรากแก้ว มีแต่รากฝอย รากแตกจากโคนและเง่ามจมดิน การแพร่พันธ์ของต้นไผ่ตามธรรมชาติมีอยู่ 2 ทาง คือทางหนึ่งแตกพันธ์จากเมล็ด เมล็ดของไฝ่มีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าว เมล็ดไผ่เมื่อเมื่อปล่อยให้แก่จัดคาต้นจะร่วงหล่นจากต้นลงพื้นดิน และแพร่พันธ์ทางหน่ออีกทางหนึ่ง หน่อไผ่เจริญจากปุ่มเง่าอ่อนโคนไผ่ใต้ดิน เป็นปุ่ม กลายเป็นปลีปลายแหลมค่อยเติบโหญ่แข็งแทงโผล่ขึ้นมารับอากาศบนดิน
( สุรพล อ้นวงษา: 29 )
ไผ่มีประโยชน์นับตั้งแต่รากจนถึงยอด หน่อใช้รับประทานใบใช้ห่อขนม ลำไผ่ใช้ทำประโยชน์ได้ตั้งแต่ไม้จิ้มฟัน ตะเกียบ เครื่องจักสาน ทำกระบอกใส่น้ำ ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำบ้านเรือน ทำรั้วบ้าน ทำอุตสาหกรรมกระดาษ ทำท่อน้ำ รางน้ำ ทำแพลูกบวบ ปลูกเป็นไม้ประดับ ฯลฯ ไผ่ในเมืองไทยมีหลายชนิด เช่น ไผ่ป่า ไผ่สีสุก ไผ่บง ไผ่น้ำเต้า ไผ่เหลือง ไผ่ข้าวหลาม ไผ่นวล ไผ่ด้ามพร้า ไผ่หางช้าง ไผ่คาย ไผ่หลอด ไผ่ตง ไผ่รวก เป็นต้น ( เกษร สุนทราเสรี, 2536:3 )
2.2 ชนิดของไม้ไผ่ในประเทศไทย
ปัจจุบันเท่าที่มีการสำรวจชนิดของไผ่ในประเทศไทย พบว่ามีหน่อไม้อยู่ประมาณ 12 สกุล ซึ่งแยกออกได้เป็น 44 ชนิด แต่ที่พบเห็นกันทั่วไปนั้นมีราว 10 ชนิด ส่วนอีก 33 ชนิดที่เหลือจะมีให้เห็นในเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น ข้อสังเกตเกี่ยวกับไม่ไผ่ในเมืองไทยนั้นก็คือ ไผ่ส่วนมากของประเทศไทยนั้นมักจะขึ้นเป็นกอรวมกลุ่มกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ( เจนจบ ยิ่งสมุล, 2536:34 )
ไม้ไผ่ทั้ง 10 ชนิด ที่พบเห็นมากที่สุด จำแนกประเภทออกได้ดังนี้ คือ

2.2.1 ไผ่สีสุก
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีลำสูงใหญ่ เนื้อหนามีเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 7-10 ซ.ม. ปล้องยาวประมาณ 30 ซ.ม. จำนวนปล้องยาวประมาณ 50 ปล้อง อยู่ร่วมกันเป็นกอ ๆแน่นหนามากมีกิ่งข้อคล้ายหนามมากลำต้นตรงสีเขียวสดโคนต้นสีเขียวอมเทา หน่อมีขนาดใหญ่สีน้ำตาลหนักประมาณ 3-5 กิโลกรัม
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินเหนียวปนทราย หรือดินรวนในพื้นที่ราบต่ำ ริมแม่น้ำลำคลอง ปลูกง่าย จะพบว่าปลูกอยู่ทั่วๆไป ในภาคกาลงและภาคใต้
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ในการก่อสร้าง ทำส่วนต่างๆของบ้านเรือน ทำเครื่องใช้สอยในครัวเรือน ทำเฟอร์นิเจอร์ งานหัตถกรรมต่างๆ โคนไม้ไผ่นิยมใช้ทำคานหาบกันมากเพราะเนื้อหนาและทนทาน หน่อ ใช้ประกอบอาหาร
2.2.2 ไผ่เหลือง หรือไผ่ช้าง หรือผาบงดำ
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีลำใหญ่ สีเหลือง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 7-12 ซ.ม. ปล้องระหว่างข้อยาวประมาณ 20 – 25 ซ.ม. ความสูงของพุ่มโตเต็มที่ประมาณ 10 – 15 ซม. เนื้อไม้อ่อนจะมีสีเหลืองอ่อน ตาหน่อมีสีน้ำตาลอ่อน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิดปลูกง่าย เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะนำมาปลูกตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ ตามวัด โรงเรียน เพื่อเป็นไม้ประดับ เพราะสีเหลืองของลำต้นแปลกกว่าไผ่ชนิดอื่นๆ
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำแจกัน ที่เขี่ยบุหรี่
2.2.3 ไผ่เลี้ยง
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีลำต้นเล็กสีเขียวสด เส้นผ่านศูนย์กลางลำ 2-3 ซม. ปล้องยาวประมาณ 20-25 ซม. จำนวนปล้องมีประมาณ 30 ปล้อง ใบเล็กเรียวยาวขนาดประมาณ 8-10 ซม. กาบหุ้มลำบางมากและหลุดร่วงง่าย มีสีน้ำตาลอ่อน ไผ่เลี้ยงขึ้นเป็นกอไม่แน่นทึบ ไม่มีหนาม รูปทรงสวยงาม
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี ชอบอากาศค่อนข้างชื้น นิยมปลูกกันมากในภาคกลาง ส่วนใหญ่ปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะมีรูปทรงสวยงาม สะอาดตา
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ทำคันเบ็ด ทำชิ้นส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์
( เกษร สุนทราเสรี, 2536:24 )

2.2.4 ไผ่รวก
ลักษณะ เป็นไผ่ที่ลำต้นเล็ก เป็นพุ่มเตี้ย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 2-7 ซม. ปล้องยาวประมาณ7-23 ซม. จำนวนปล้องมีประมาณ 25-48 ปล้อง ใบเล็กเรียวยาว กาบหุ้มลำบางแนบชิดกับลำต้น
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในพื้นที่สูง บนภูเขา เนินสูง และที่ที่ไม่มีน้ำขัง ชอบอากาศร้อน ปลูกมากทางภาคเหนือและภาคกลาง
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ทำเยื่อกระดาษ ทำรั้วบ้าน ทำงานฝีมือประเภทต่างๆ หน่อใช้ประกอบอาหาร
2.2.5 ไผ่ป่า ไผ่หนาม
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีลำต้น เนื้อลำหนา ลำมีแขนงรกแน่นและมีหนามคล้ายไผ่สีสุก ปล้องถี่กว่า และกอแน่นกว่าไผ่สีสุก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำ10-15 ซม. ใบเล็ก ลำต้นอ่อนมีสีเขียว ลำต้นแก่ สีออกเขียวอมเหลือง หน่อมีขนาดใหญ่ กาบหุ้มลำหนาและแข็ง
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้นดี บริเวณที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำดี บริเวณที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ ลำคลอง ลำห้วย หนอง บึง จะขึ้นเป็นกออยู่หนาแน่น ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ทำเครื่องใช้สอยในครัวเรือน หน่อใช้ประกอบอาหาร
2.2.6 ไผ่ลำมะลอก
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีพุ่มใหญ่ สูงประมาณ 10 –15 ซม. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 7-10 ซม. ลำต้นกลวง ไม่มีหนาม ผิวเกลี้ยงสะอาด ใบเล็กเรียวสั้น ก้านใบแตกเป็นพุ่ม หน่อมีขนาดใหญ่ และจะผลัดใบในฤดูร้อน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินปนทรายจะพบว่าปลูกได้แทบทุกภาคของประเทศ แต่ทางภาคใต้ปลูกได้ไม่งามเท่าที่ควร
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ในการก่อสร้าง ทำนั่งร้าน เสาโป๊ะ ฝาบ้าน ปูพื้นบ้าน ทำไม้กวาด ทำเครื่องจักรสาน หน่อใช้ประกอบอาหาร
2.2.7 ไผ่ไร่
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีพุ่มเล็กขึ้นเป็นกอหนาแน่นมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 1.5-2.5 ซม. ปล้องยาวประมาณ 40 ซม. จำนวนปล้องมีประมาณ40 ปล้อง ลำมีสีเขียวแกมเทา ผิวลำสาก และมีขนปกคลุมทั่วลำ ใบเล็ก ขยายพันธุ์โดยใช้เหง้า
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินที่เป็นกรดเล็กน้อยจนถึงดินลูกรัง ชอบความชุ่มชื้นมาก จะพบมากบริเวณภูเขาและป่าทึบแทบทุกภาคของประเทศ
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ทำด้ามไม้กวาด และใช้ในงานการก่อสร้างชั่วคราว
2.2.8 ไผ่ซาง หรือ ไผ่นวล
ลักษณะ เป็นไผ่ขึ้นเป็นกอ ไม่หนาแน่น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-12 ซม. ปล้องยาวประมาณ 30 ซม. ใบเล็กยาว ท้องใบมีขนบางๆ หน่อมีสีเท่าแก่ปนแดง ข้างในสีขาว กาบมีสีขาวนวล
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินที่เป็นกรดเล็กน้อยมีมากทางภาคกลางและภาคเหนือ
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ทำเครื่องจักสานของใช้ในครัวเรือน เยื่อใช้ทำกระดาษ หน่อใช้ประกอบอาหาร
2.2.9 ไผ่บง
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นกอ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 6-18 ซม. ปล้องยาวประมาณ 30 ซม. มีใบเล็ก
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะพบขึ้นตามป่าดิบและบริเวณริมน้ำทั่วๆไป ชอบอากาศชื้น พบมากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประโยชน์ ลำต้น ทำรั้วบ้าน ทำเสื่อรำแพน ทำเยื่อกระดาษ ฯลฯ หน่อใช้ประกอบอาหาร
2.2.10 ไผ่ตง
ลักษณะ เป็นไผ่ที่มีลำสูงใหญ่ ไม่มีหนาม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-12 ซม.ปล้องยาวประมาณ 20 ซม. ลำมีสีเทาปนสลับกันเป็นลายเฉพาะทางส่วนโคนลำ มีชนเล็กๆ ขึ้นอยู่ทั่วไปตามลำ หลังใบ และกาบหน่อมีขนาดใหญ่ หนักประมาณ 3-10 กิโลกรัม ไผ่ตงมีหลายพันธุ์ เช่น ไผ่ตงใหญ่ ไผ่ตงกลาง ไผ่ตงแอ่น ไผ่ตงหนู ไผ่ตงเขียว ไผ่ตงดำ เป็นต้น ไผ่ตงดำ เป็นไผ่ที่นิยมปลูกมากที่สุดเพราะให้หน่อดกและระยะการออกหน่อยาวนาน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ขึ้นได้ดีในดินปนทราย หรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำดีปลูกกันมากในภาคกลางจังหวัดที่ปลูกไผ่ตงเป็นอาชีพ คือ จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก
ประโยชน์ ลำต้น ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ทำเครื่องใช้สอนในครัวเรือนฯลฯ ใบอ่อนใช้ห่อขนม ทำหมวก ใช้ผสมทำปุ๋ย หน่อใช้ประกอบอาหารทั้งหน่อสด หรือนำไปแปรรูปเพื่อเก็บไว้รับประทานได้นานๆ เช่น ทำหน่อไม้ดอง หน่อไม้ตากแห้ง ฯลฯ
ในปัจจุบันนี้ได้มีผู้คิดประดิษฐ์นำโคนไผ่ตงมาแกะสลักเป็นหน้าคนมีหนวดเครา ใช้ตั้งประดับโต๊ะหรือใช้ใส่ของ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก เพราะขายได้ในราคาสูงพอสมควร
( เกษร สุนทราเสรี, 2536:24 -26 )
2.3 ปราจีนบุรี กับ หน่อไม้ไผ่ตง มีชื่อเสียงเคียงคู่กันมานานนับเป็นร้อยปี กล่าวกันว่าหน่อไม้ของที่นี่อร่อยที่สุดในประเทศไทย และเนื้อไม้ไผ่ตง ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในการใช้งานเพื่อแปรสภาพเป็นวัตถุทางหัตถกรรม และเฟอร์นิเจอร์
พันธุ์ดงหม้อ หรือดงใหญ่
ลำต้นของไผ่ตงพันธุ์ดงหม้อ จะมีขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางเมื่อโตเต็มที่ อาจมีขนาดใหญ่ถึง 16 เซนติเมตร เส้นรอบวงประมาณ 38-52 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าใหญ่มาก ลำตันที่ว่านี้เมื่อเวลาเติบโตจะสูงชะลูดต่ำกว่า 10 เมตรขึ้นไป กึ่งแขนงที่แตกออกจากตาจะมีน้อยมาก ผิดกับพันธุ์ไผ่อื่นๆ
ใบของไผ่พันธุ์นี้ จะมีขนาดเล็กกว่าไผ่ตงพันธุ์อื่นๆ ทรงพุ่มจะโปร่งเนื่องจากลำต้นสูงมากนั่นเอง ใบจะไม่หนาแน่นมากนัก สีของใบเป็นสีเขียว กลางใบมรลักษณะนูนขึ้นมา
หน่อของไผ่ตงดงหม้อ จะมีขนาดใหญ่มากน้ำหนักเฉลี่ย 8-10 กิโลกรัม เมื่อสมบูรณ์เต็มที่ โดยมากจะเป็นสีน้ำตาล และน้ำตาลดำอมม่วงบนกาบหน่อมีขนค่อนข้างละเอียดรอยต่อของกาบจะเป็นสีม่วงเปลือกมังคุด เนื้อภายในสีขาวแต่หยาบ มีรสหวาน ใบยอดกาบจะมีขนาดใหญ่กว่าไผ่ตงทุกพันธุ์ พันธุ์นี้จะออกหน่อชุกในช่วงกลางฤดูฝนคือระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม คนไทยนิยมบริโภคหน่อของมันเป็นจำวนมาก เพราะรสชาติหวานอร่อย กรอบ เหมาะสำหรับต้มเป็นแกงจืด หรือลวดรับประทานกับน้ำพริก ได้เป็นอย่างดี
ระยะที่ทำการปลูกไผ่ตงดงหม้อนี้ควรจะมีระยะการปลูกกว้างกว่าไผ่พันธุ์อื่นเนื่องจากลำต้นมีขนาดใหญ่มาก การขยายพันธุ์อาจไม่ค่อยมากนัก เพราะมีกิ่งที่แตกแขนงน้อย จึงเหมาะที่จะปลูกขายลำมากการขายหน่อ
พันธุ์ตงดำ หรือตงจีน หรือตงกลาง
ลำต้นของไผ่ตงพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์ตงหม้อคือมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9-12 ซม. เส้นรอบวงลำต้นประมาณ 30-40 ซม. ลำต้นยังเตี้ยและสั้นกว่าตงหม้อ อีกทั้งยังมีผิวมัน สีเขียวเข้มอมดำหยาบและสากมือ กิ่งแขนงของพันธุ์นี้จะเป็นสีเขียวเข้ม มีนวลแป้งสีขาวเกาะติดอยู่บริเวณปล้องเสมอ ข้อแต่ละข้อจะเรียบ
ใบ ของไผ่พันธุ์ตงดำ จะมีขนาดใหญ่ แลเห็นร่องใบได้ชัดเจนกว่าไผ่ตงพันธุ์อื่นๆใบหนาสีเขียวเข้ม มองเห็นชัดเจน
หน่อของตงดำ ได้รับฉายาว่า “ไผ่ตงหวาน” เพราะมีคุณภาพดีมาก หวาน กรอบอร่อย เนื้อเป็นสีขาวละเอียดไม่มีเสี้ยน นิยมใช้เป็นพันธุ์ที่ทำตงหมก หน่อแต่ละหน่อจะมีน้ำหนักประมาณ3-6 กิโลกรัม สีของกาบหน่อเป็นสีน้ำตาลปนดำ หรือดำอมนวล ขนละเอียดกกว่าตงเขียวการออกหน่อองไผ่พันธุ์นี้ จะออกตั้งแต่ต้นฝน แต่จะดกมากในช่วงเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม
การปลูกไผ่ตงดำนี้ ชาวบ้านปลูกห่างกันประมาณ 8 ตารางเมตร ไร่หนึ่งจะปลูกได้ประมาณ 25 ต้น ซึ่งจะให้ผลดีมาก หารดินดี และปุ๋ยถึง ( เจบจบ ยิ่งสมุล,2536:47-50)
พันธุ์ตงเขียว
ลำต้นของพันธุ์ตงเขียวจะมีขนาดเล็กกว่าตงดำ แต่มีขาดใหญ่กว่าตงหนู เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-12 ซม. เส้นรอบวงประมาณ 15-20 ซม. ลำต้นจะสั้นกว่าตงดำ สีของลำต้นจะเป็นสีเขียวเข้มจัด ผิวเรียบเป็นมันลื่น เจริญเติบโตแล้วกลุ่มต้นจะเป็นพุ่มทึบ ให้ร่มเงาได้ดีเนื่องจากพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่มีใบ และแขนงมาก เนื้อบางไม่ค่อยแข็งแรงเจอลมพายุแรงมักโดคนหักได้ง่ายๆด้วยความที่ตงเขียวมีกิ่งแขนงมากนั่นเองจึงสามารถแยกไปปักชำได้ดี และรวดเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ กิ่งแขนงจะใหญ่และอวบมีสีเขียวสดกว่าตงดำ
ใบของไผ่ตงพันธุ์นี้จะมีสีเขียวเข้มจัดกว่าพันธุ์อื่นๆ แต่ใบมีขนาดเล็กและบางไม่สากมือเหมือนไผ่ตงดำ น้ำหนักของหน่อไผ่ตงเขียวประมาณ 1-4 กิโลกรัม สีของกาบหน่อจะดำสนิทขนหยาบบริเวณโคนหน่อเหนือรอยกาบมีสีเขียวอมเหลืองสีเนื้อของหน่อจะเป็นสีขาวอมเหลือง หยาบ และมีเสี้ยนมากกว่าตงดำ มีรสชาติหวานปนขมเล็กน้อยใบยอดกาบจะตั้งไม่พับหักลงเหมือนตงดำ ไผ่ตงเขียวเป็นพันธุ์ไผ่ที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก ไม่ไผ่ตงดำ เนื่องจากสามารถทนความแห้งแล้งได้ดีและให้ผลผลิตที่สูงเพราะสามารถอกหน่อได้สองช่วงในหนึ่งปีคือ ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ซึ่งได้เปรียบกว่าหน่อไม้พันธุ์อื่นที่ออกหน่อปีละครั้งเดียว ใช้พื้นที่ในการปลูก 6 ตารางเมตรต่อ 1 ต้น หนึ่งไร่สามารถปลูกไผ่ตงเขียวได้ถึง 35-34 ต้น
พันธุ์ตงหนู หรือตงเล็ก
ลำต้นของพันธุ์ตงหนูมีขนาดลำต้นเล็กกว่าตงเขียว และเล็กที่สุดในบรรดาไผ่ตงด้วยกันมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-6 ซม. เท่านั้น เส้นรอบวงประมาณ 12-0 ซม. ลักษณะอื่นๆจะคล้าย หรือเหมือนกับไผ่ตงดำ หากแต่เป็นพุ่มเตี้ยกว่าและเล็กกว่าเท่านั้น
หน่อของตงหนูจะหนักประมาณ 1-3 กิโลกรัม ไม่ค่อยนิยมปลูกเพื่อการค้านัก เหมาะสำหรับบริโภคในครัวเรือนมากกว่าที่จะส่งขาย
จากข้อมูลของเกษตรกรจังหวัดปราจีนบุรี ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่เก็บรวบรวมสถิติเอาไว้เป็นขอมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับเรื่องการนิยมปลูกไผ่ตงนั้น ปรากฎว่า ไผ่ตงดำและไผ่ตงเขียวเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากและให้ผลคุ้มค่ามากที่สุด
นอกจากไผ่ตงทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวแล้วประเทศไทยยังมัไผ่ที่น่าสนใจอีกสองชนิดที่นิยมปลูกกันมาก เป็นพันธุ์ไผ่ตงจากประเทศไต้หวัน ซึ่งได้แก่
ไผ่ตงไต้หวัดชนิดใหญ่ (มาจู) ลำต้นตรง และสูงเท่ากับไผ่ตงหนูของบ้านเรา เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4- 6ซม. เส้นรอบวง 12-20 ซม. มีกิ่งแขนงพอควร ใบมีขนาดใหญ่ สามารถนำมาห่อขนมจ้างได้ หน่อของพันธุ์นี้มีรสชาติดีพอสมควร
ไผ่ตงไต้หวัดชนิดเล็ก (ลิ่วจู) ลำต้นมีขนาดเล็กมาก เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงแค่ 2-4 ซม.เท่านั้น เส้นรอบวง 7-12 ซม. ลำต้นไม่สูงและเล็กกว่าไผ่ตงบ้านเราทุกชนิด หน่อของพันธุ์นี้ หวานและรสชาติดีกว่าพันธุ์ใหญ่ สามารถรับประทานดิบๆได้ แต่ละหน่อน้ำหนักประมาณ 200-300 กรัม ให้หน่อดก ขณะนี้เป็นที่นิยมปลูกกันมากเช่นเดียวกับพันธุ์อื่นๆ ( เจบจบ ยิ่งสมุล,2536:50-52 )
2.4 คุณสมบัติของไม้ไผ่
2.4.1 รูปทรงของลำไผ่ ยาวเรียว ภายในปล้องเป็นโพรง เรียกว่า “รูกระบอก” รูกระบอกมีหลายขนาดสุดแต่ความหนาบางของเนื้อและชนิดนาดของลำไผ่ ปล้องไผ่นี้กลมเกลี้ยงเกลา
2.4.2 ผิวไผ่ข้างนอกลำต้นเป็นเกาะโครงหุ้มห่อเนื้อใน ผิวไผ่แข็งแกร่ง แข้งแรง คมมาก เป็นมันวาวละเลื่อม มีสีตามชนิดของไผ่ เมื่อยังสด สีเหลือง สีหมากสุก สีเขียว เขียวแก่เกือบดำ บางชนิดผิวเหลืองมีลาบมีจุดเป็นสีน้ำตาลแก่ ไผ่เมื่อแห้งผิวจะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลอ่อนนวล
2.4.3 เนื้อในสีขาวเปลี่ยนเป็นสีนวล เมื่อแก่เสี้ยนแข็งและเข้มขึ้น ไม้ไผ่เมื่อยังสดจะเหนียวแห้งและค่อนข้างเปาะ
2.4.4 ข้อภายในมีโครงกะลาตันเป็นส่วนกั้นระหว่างปล้องใส่น้ำได้ไม่รั่วไหล โครงกะลานี้แข็งกรอบทะลวงให้ทะลุได้ง่าย
2.4.5 ไม้ไผ่สามารถดัดโค้งและคืนตัวเป็นสปริงได้ดี
2.4.6 ปล้องผ่าซีกหรือทุบแตกง่าย จะบั่นทอนต้องใช้เลื่อยตัด
ในการใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่นั้น คุณลักษณะของไม้ไผ่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมาก ในการตัดสินใจว่าจะใช้ไผ่ชนิดใด เพื่อใช้ประโยชน์อย่างใด ดังนั้นในการแยกชนิดของไผ่และทราบคุณสมบัติของไผ่แต่ละชนิดนั้นย่อมสามารถประสบความสำเร็จในการแปรรูปมากขึ้นด้วย
จะเห็นว่าไม้ไผ่เป็นไม้สารพัดประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยมาช้านานและทุกวันนี้ไผ่ยังเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งสามารถแบ่งการใช้ไม้ไผ่ออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ดังนี้
2.5 ไม้ไผ่ที่นำมาทำเป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือนไม้ไผ่ในประเทศไทยที่เรียกว่า “เรือนเครื่องผูก”สร้างด้วยไม่ไผ่แทบทั้งหมด ตั้งแต่ใช้เป็นโครงสร้างและส่วนประกอบของบ้านเรือน ได้แก่ ใช้ลำไม้ไผ่เป็นเสา โครงหลังคา และใช้ไม้แปรรูปด้วยการผ่าเป็นซีกๆ เป็นพื้นและสานเป็นแผงใช้เป็นฝาเรือน เป็นต้น นอกจากนี้ยังยังใช้ไม้ไผ่สร้างสะพาน ทำเป็นแพหรือลูกบวบเป็นที่พักอาศัยในแม่น้ำลำคลองด้วย
2.6 งานไม้ไผ่ที่ใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนและชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ก่องข้าวและกระติบสำหรับใส่ข้าวเหนียวของชาวอีสานและชาวเหนอ เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำไม้ไผ่มาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ใช้สอย นอกจากนี้ยังมีกระจาด กระชอน ตะกร้า พัด กระบวน กระบวย หีบเสื้อผ้ารองเท้า เป็นต้น
2.7 งานไม้ไผ่ที่ใช้เป็นเครื่องเรือนหรือเครื่องตกแต่ง คนไทยนำไม้ไผ่มาทำเป็นแคร่ ทำเปลไว้นอนเล่นในฤดูฝน เพราะแคร่และเปลไม้ไผ่นั้นโปร่ง อากาศผ่านได้ดีไม่ร้อน นอกจากนี้ยังทำเป็นโต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอนอีกด้วย
2.8 งานไม้ไผ่ที่ใช้ทำเป็นเครื่องดนตรี เช่น ขลุ่ยไทย ขลุ่ยญี่ปุ่น ซึ่งมีอยู่หลายประเทศ ระนาด และอังกะลุง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้คุณสมบัติของไม้ไผ่อย่างแท้จริง
2.9 ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ในงานอุตสาหกรรม ไม่ไผ่เป็นวัตถุดิบที่หาได้ไม่ยากและมีราคาไม่แพง ชาวไทยจึงนำไม้ไผ่มาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นจำนวนมากทั้งที่เป็นงานอุตสาหกรรมในครอบครัวประเภทเครื่องจักสาน เครื่องเรือน ของเล่น เครื่องใช้ต่างๆ จนถึงใช้วัตถุดิบในงานอุตสาหกรรม เช่น ใช้ทำเยื่อกระดาษ ใช้เป็นเครื่องเรือนและเครื่องใช้ที่ผลิตด้วยเครื่องจักร
จากคุณสมบัติพิเศษของของไผ่ที่ต่างไปจากวัตถุดิบธรรมชาติอื่นๆ จึงทำให้มนุษย์นำไม้ไผ่มาใช้ประโยชน์กันตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการนำไม้ไผ่มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆให้เราได้เห็นกัน ( วิบูลย์ ลี้สุวรรณ,:10-14)
2.10 อายุของไผ่ที่จะตัดไปใช้งาน
ในการจะตัดไผ่ไปใช้งาน ต้องพิจารณาลักษณะความหนาแน่นของเซลและส่วนประกอบของลำไผ่ ความเจริญเติบโตเต็มที่ ความแข็งแรง คราบที่ข้อต้องเรียบเสมอกับลำต้น ไม่มีกาบนวลติดอยู่ตามข้อปล้อง ผิวไม่เปล่งมีสีเหลืองอ่อนเป็นมันเลื่อมแสดงถึงลักษณะแก่จัด อายุของไผ่ก่อนตัดที่พอเหมาะจริงๆ สำหรับไผ่ใหญ่ เช่น
- ไม้ไผ่ที่หยุ่นตัวและเหนียวพอจะทำขอบได้ต้องมีอายุ 1-2 ปี
- ไม้ไผ่ที่เหมาะสำหรับงานจักสานต้องมีอายุ 2-3 ปี
- ไม้ไผ่ที่ต้องการเนื้อเหนียงแข็ง จะต้องมีอายุ 4-6 ปี
ประมาณอายุไม้ไผ่ดังกล่าวนี้ จะมีผิวเป็นแวววาว สดใส งามดี ไผ่เมื่อนานปี 7-8 ปีจะเสื่อมลง ผิว เยื่อ เนื้อไผ่จะหยาบแข็งกระด้างหมด ไขมันหมดความหยุ่นตัว ข้อตาลำก็จะเปลี่ยนเป็นสีด่างดำ ( สุรพล อ้นวงษา,:100)
2.11 การตัดลำ การริดกิ่งแขนงไผ่
การตัดไม้ไผ่ต้องตัดตรงโคนใกล้รากด้วยขวานหรือมีดโต้ ถ้าเป็นลำใหญ่สามารถสอดเลื่อยๆก่อน ใกล้จะขาดค่อยใช้ขวานหรือมีดโต้ฟันสับด้านตรงข้ามรับเมื่อไผ่ล้ม ปล้อง ลำ ผิวไผ่จะได้ไม่แตกฉีกหัก การริดให้เริ่มริดกิ่งแขนงไผ่จากโคนขึ้นไปใช้มีดโต้หรือใช้ขวานสับเราะแง่โคนกิ่งตอนใต้ข้อต่อเกือบขาดแล้วใช้ขวานสับเคาะอย่างแรงให้หลุดไป อย่าสับจนขาดเลยอาจพลาด
พรั้งสับเอาผิวลำไผ่ได้บางทีผิวจะฉีกบ้างก็จะฉีกลอกที่แง่กิ่งไม่เสียผิวที่ลำไผ่ (สุรพล อ้นวงษา,:106)

2.12 การทำให้ไม้ไผ่คงทน
ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ในการก่อสร้างทั่ว ๆ ไปนั้น ตัดมาใช้ได้เมื่อไม้ไผ่อายุ 3-5 ปี แต่ถ้าไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขกำจัดแมลงและเชื้อราแล้ว ไม้ไผ่ที่อยู่ติดดินอาจมีอายุใช้งานประมาณ 1-2 ปี เท่านั้น แต่ถ้าใช้ในที่ร่มและจากดินอายุอาจจะใช้งานถึง 5 ปี ไม้ไผ่อาจถูกรบกวนทำลายโดยมอดและปลวก เพราะมีอาหารในเนื้อไม้ นอกจากนั้นอาจถูกทำลายโดยเชื้อรา และถ้าใช้ในน้ำทะเลก็อาจถูกทำลายโดยเพรียงได้ การรักษาให้ไม้ไผ่มีอายุยืนนานนั้นอาจทำได้ต่าง ๆ กันดังนี้
2.12.1 วิธีแช่น้ำ การแช่น้ำก็เพื่อทำลายสารในเนื้อไม้ที่มีอาหารของแมลงต่าง ๆ เช่น พวกน้ำตาล แป้ง ให้หมดไป การแช่ต้องแช่ให้มิดลำไม้ไผ่ เป็นน้ำไหลซึ่งมีระยะเวลาแช่น้ำสำหรับไม้สดประมาณ 3 วัน ถึง 3 เดือนแต่ถ้าเป็นไม้ไผ่แห้งต้องเพิ่มอีกประมาณ 15 วัน วิธีใช้ความร้อน หรือการสกัดน้ำมันจากไม้ไผ่ ก่อนนำมาสกัดน้ำมันควรตั้งพิงเอาส่วนโคนไว้ตอนบน การสกัดน้ำมันออกจากไม้ไผ่ทำได้โดยให้ความร้อนด้วยไฟหรือต้ม
2.12.2 วิธีการสกัดน้ำมันด้วยไฟจะทำให้เนื้อไม้มีลักษณะแกร่ง ส่วนมากสกัดน้ำมันด้วยวิธีต้มนั้นเนื้อไม้จะอ่อนนุ่มการสกัดน้ำมันด้วยไฟนั้นทำโดยเอาไม้ไผ่ปิ้งในเตาไฟต่อย่าให้ไหม้และรีบเช็ดน้ำมันที่เยิ้มออกมาจากผิวไผ่ให้หมดระยะเวลาการปิ้งประมาณ 20 นาที อุณหภูมิประมาณ 120-130 องศาเซลเซียส การสกัดน้ำมันด้วยวิธีต้มนั้นใช้ต้มในน้ำธรรมดาใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรืออาจใช้โซดาไฟ 10.3 กรัมหรือโซเดียมคาร์บอเนต 15 กรัม ละลายในน้ำ 18.05 ลิตร ใช้เวลาต้มประมาณ 15 นาที หลังจากต้มแล้วให้รีบเช็ดน้ำที่ซึมออกมาจากผิวไม้ไผ่ก่อนที่จะแห้ง เพราะถ้าเย็นลงจะเช็ดไม่ออกแล้วจึงนำไม้ไผ่ที่สกัดน้ำมันออกไปแล้วล้างน้ำให้สะอาดและทำให้แห้ง
2.12.3 การใช้สารเคมี วิธีที่จะได้ผลดีกว่าการปิ้งหรือต้ม ซึ่งอาจทำได้ทั้งวิธีชุบหรือทาน้ำยาลงไปที่ไม้ไผ่หรือจะโดยวิธีอัดสารเคมีเข้าไปในเนื้อไม้ไผ่ วิธีชุบนั้นใช้เวลาประมาณ 10 นาที เช่น ชุบในน้ำยา DDT ที่มีความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับน้ำมันก๊าดจะทนได้นานถึง 1 ปี ถ้าชุบหรือแช่ให้นานขึ้นก็อาจทนได้ถึง 2 ปี หรืออาจใช้โซเดียมแพนตาคลอโรฟีเนต 1 เปอร์เซ็นต์ ละลายน้ำบอแรกซ์ ก็จะสามารถป้องกันมอดได้เป็นอย่างดี วิธีอัดน้ำยานั้นถ้าไม้ไผ่ไม่มากนักและเป็นไม้ไผ่สดทำโดยเอาน้ำยารักษาเนื้อไม้ใส่ภาชนะที่มีความลึกประมาณ40-60 เซนติเมตร เอาไม้ไผ่ลงแช่ทั้งที่มีกิ่งและใบ เมื่อใบสดระเหยน้ำออกไป โคนไม้ไผ่จะดูดน้ำยาเข้าแทนที่
2.12.4 วิธีอัดน้ำยาอีกวิธีหนึ่งที่จะอัดน้ำยาเข้าไม่ไผ่สดที่ตัดกิ่งก้านออกแล้ว ทำโดยนำยางในของรถจักรยานยาวพอสมควรแล้วใส่น้ำยาข้างหนึ่งสวมเข้าที่โคนไม้ไผ่ใช้เชือกรัดกันน้ำยาออก ยกปลายยางข้างที่ไม่ได้กรอกน้ำยาให้สูงวิธีนี้ได้ผลดีกับไม้ไผ่สด วิธีอัดน้ำยาอีกวิธีหนึ่งคือ ตั้งถังน้ำยาสูงประมาณ 10 เมตร แล้วต่อท่อสวมที่โคนไม้ไผ่สดด้วยท่อยางแล้วรัดไว้ไม่ให้น้ำยาไหลออกมาแรงดันของน้ำยาที่อยู่สูง 10 เมตร จะดันน้ำยาเข้าไปในไม้ไผ่
การใช้ไม้ไผ่เสริมคอนกรีต ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เหล็กเสริมคอนกรีตขาดแคลนจึงได้มีผู้นำไม้ไผ่มาผ่าเป็นซีกเล็ก ๆ แล้วใช้เสริมคอนกรีตแทนเหล็ก แม้ในปัจจุบันก็ยังมีผู้ใช้วิธีนี้อยู่ ไม้ไผ่นั้นมีค่าพิกัดแห่งความยืดหยุ่นต่ำ และเป็นวัสดุที่ยืดตัวมากกว่าเหล็กถึงประมาณ 14 เท่า เมื่อรับแรงเท่ากัน ไม้ไผ่ต้านแรงดึงได้ 13,000 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร ที่ข้อและต้านแรงดึงได้ 17,000 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตรที่ปล้อง เพราะเหตุที่ไม้ไผ่ดูดน้ำมาก เมื่อนำมาเสริมคอนกรีตแทนเหล็กเสริม ทำให้การยึดเกาะกับคอนกรีตต่ำ ถ้านำไม้ไผ่มาเสริมคอนกรีตขณะที่เทคอนกรีตซึ่งมีน้ำผลมอยู่ ไม้ไผ่จะพองตัว และต่อมาไม้ไผ่หดตัวลงเนื่องจากน้ำระเหยไป จะทำให้ไม้ไผ่ที่เสริมแยกตัวกับคอนกรีตที่หุ้มอยู่ ไม้ไผ่จึงไม่เหมาะสำหรับมาเสริมคอนกรีตโครงสร้าง แต่อาจใช้ได้สำหรับเสริมพื้นคอนกรีตที่ติดกับดินและไม่ได้รับน้ำหนักมากนัก
2.13 เครื่องมือ/อุปกรณ์
ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น สามารถผลิตเครื่องมือชนิดใหม่ๆหลากหลายชิ้นที่จะอำนวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์ในการใช้สอย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเครื่องมือที่จำเป็นเท่านั้น

1. เลื่อยลันดา ( Hand Saw ) เป็นเลื่อยใช้งานทั่วไป ใช้สำหรับตัดหรือผ่าไม้ เวลาใช้ควรวางเลื่อยให้ได้ 60 องศากับงาน ในการใช้เลื่อยต้องใช้เลื่อยที่มีฟันละเอียด คม


ภาพที่ 1 ภาพแสดงลักษณะของเลื่อยลันดา
http://www.thaipipat.com/images/1126606098/1134208697.jpg


2.เลื่อยรอ (Dovetial Saw ) ใช้สำหรับตัดแต่งไม้ตามหลังเลื่อยตัดปากไม้




ภาพที่ 2 ภาพแสดงลักษณะของเลื่อยรอ
http://www.thaipipat.com/images/1131685324/1132549563.jpg


3. ค้อนหงอน ใช้ตอกตะปู ตอกตะปู หรือตอกไม้เวลาประกอบชิ้นงาน บางครั้งใช้ตอกสิ่ว และงานอื่นๆ



ภาพที่ 3 ภาพแสดงลักษณะของค้อนหงอน
http://www.thaipipat.com/images/1126606098/1134208490.jpg


4. สว่าน ใช้สำหรับเจาะรูนำก่อนที่จะตอกตะปู หรือเจาะนำก่อนที่จะตอกไม้ไผ่เข้าไปให้ชิ้นงานติดกัน สามารถเปลี่ยนดอกสว่านได้หลายขนาดตามความเหมาะสม

ภาพที่ 4 ภาพแสดงลักษณะของสว่าน
http://www.thaipipat.com/images/1126607124/hammer drills.jpg


5. สิ่ว เป็นเครื่องมือสำหรับเจาะปากไม้ แต่งปากไม้ เข้าเดือยงานไม้



ภาพที่ 5 ภาพแสดงลักษณะของสิ่ว
http://www.thaipipat.com/images/1126606098/1134208721.jpg


6. ตลับเมตร ใช้สำหับวัดขนาดและความยาวของไม้ไผ่หรือวัสดุต่างๆ




ภาพที่ 6 ภาพแสดงลักษณะของตลับเมตร
http://www1.cementhaionline.com/CRC/Product/tool.htm

3. กระบวนการออกแบบของเล่นจากวัสดุไม้ไผ่
3.1 กระบวนการในการออกแบบผลิตภัณฑ์

3.1.1. กำหนดและทำความเข้าใจในปัญหาหรือโจทย์ในการออกแบบ (Problem indentification) ควรทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดในเรื่องของวัตถุประสงค์ (Obiectives) และประโยชน์ใช้สอย (Function) ทั้งสองประเด็นนี้ นักออกแบบสามารถจะหาความกระจ่างชัดได้จากที่มาต่าง ได้แก่
- ข้อมูลสนาม ได้แก่ การออกสำรวจตลาด ดูรูปลักษณะประเภทของผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังจะทำการออกแบบ แล้วบันทึกข้อมูลที่ได้เพื่อนำมาทำการวิเคราะห์กำหนดเป็นโจทย์หรือปัญหาของผลิตภัณฑ์
- การสำรวจความคิดเห็น ได้แก่ การสอบถามกลุ่มบุคคลที่แสดงความคิดเห็นประเด็นต่างๆ เพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นๆ
- เอกสารบันทึกข้อมูลเดิม ได้แก่ การค้นคว้าจากหนังสือ หรือสื่ออื่นๆ - การสังเกตการณ์ด้วยตนเอง ได้แก่ การหาข้อมูลด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่าจ้อมูลปฐมภูมิจากการสังเกตผลิตภัณฑ์หรือการเข้าร่วมในเหตุการณ์เพื่อเป็นการยืนยันการกำหนดวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์
- การลองวางแผนแนวความคิดที่มีอยู่ ได้แก่ การลองตั้งสติสมมุติฐานเพื่อประเมินว่าเข้ากับแนวความคิด หรือวัตถุประสงค์หรือไม่
3.1.2. การหาแนวคิดริเริ่มแรก (Preliminary) แนวความคิดแรกเริ่มสามารถทำให้เกิดได้ตามกระบวนการดังนี้
- การใช้ความคิดสร้างสรรค์
- การเริ่มสเก็ตซ์ภาพตามแนวความคิด
3.1.3. การพัฒนาปรับปรุงแต่งปัญหา ( Problem Refinement ) เป็นประเด็นที่มุ่งแก้ปัญหาต่างๆโดยละเอียด เพื่อการปรับปรุงให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบที่สุด งานออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นการทำงานทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติร่วมกัน ทั้งการสเก็ตซ์ภาพในกระดาษ และลองทำโมเดล เป็นต้น
3.1.4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นการพิจารณาความเหมาะสมแห่งคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปตรวจสอบปรับปรุง ประเมิน เพื่อการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป 3.1.5. การตัดสินใจ (Decision Making) เป็นการตกลงยอมใจยอมรับแบบ หรือความคิดต่างๆ ที่ผ่านการดำเนินงาน หรือบางส่วน โดยประเมินผล พิสูจน์ทราบผล และสรุปหาทางเลือก (Alternatives) ที่มี
3.1.6. การแสดงผลงานด้วยสื่อต่างๆ (Implementation) การแสดงผลงานของการออกแบบนั้นสามารถแสดงด้วยวิธีต่างๆ คือ
- งานเขียนแบบ (Working Drawing)
- หุ่นจำลองหรือต้นแบบ (Model หรือ Prototype)
- การแสดงบท (Presentation) (ออส่วน, สวเรศ เกตุสุวรรณ 2543 : 1- 28)
3.2 ความหมายของของเล่น
ของเล่น ตามราชบัณฑิตยสถาน 2531: 135 ได้ให้ความหมายไว้ว่า ของเล่น คือ ของสำหรับเด็กเล่นเพื่อให้สนุกสนานหรือเพลิดเพลิน (ยุพา คงดิศ, 2537:1)
ของเล่น พจนานุกรม หมายถึง ของสำหรับเด็กเล่นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน (อเนก นาวิกมูล,2546 :25).
ฉวีวรรณ,2528 ได้ให้ความหมายของของเล่น สิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ที่นำมาให้เด็กเล่น เป็นสื่อที่ช่วยให้เด็กได้รู้จัก ได้ใช้ ได้จัด ได้กระทำ หรือประดิษฐ์คิดสร้าง
ใน ความหมายของ “ ของเล่นพื้นบ้าน ” บวรและคณะ (2544) ได้ให้ความหมาย “ของเล่นพื้นบ้าน” หมายถึง สิ่งของวัสดุที่นำมาเล่นโดยทำจากวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น เป็นผลผลิตจากธรรมชาติหรือจากธรรมชาติหรืออาจเหลือใช้จากธรรมชาติก็ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของสังคมนั้นๆ ช่วยส่งเสริมสุขภาวะทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ด้วย (โครงการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องการสื่อสารเพื่อสุขภาพ:1)
ดังนั้น ผู้จัดทำขอให้คำจำกัดความของคำว่าของเล่นพื้นบ้าน หมายถึง สิ่งของหรือวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่นซึ่งนำมาสร้างสรรค์เป็นของเล่นโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่นั้นพร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาวะทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
3.3 ประเภทของของเล่น
คณะกรรมการจัดนิทรรศการ “เด็กฉลาดด้วยของเล่น ” ของภาควิชาประถมศึกษาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2527) ได้แบ่งของเล่นที่มีคุณค่าเป็น 9 ประเภท คือ
3.3.1. ของเล่นส่งเสริมทักษะทางภาษา เป็นของเล่นที่เกี่ยวกับการฟัง อ่าน พูด เขียน
3.3.2. ของเล่นส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ เป็นของเล่นที่ฝึกการคิดคำนวณ การเปรียบเทียบ จำแนก การจัดลำดับ การรวม การแยก
3.3.3. ของเล่นให้รู้จักสิ่งต่างๆ และฝึกการสังเกตเปรียบเทียบ เป็นของเล่นที่เกี่ยวกับการรู้จักรูปร่าง สี ชื่อสิ่งของและประโยชน์
3.3.4. ของเล่นฝึกการใช้ประสาทสัมผัส เป็นของเล่นที่เด็กได้ตอก ต่อ หยอด กด ร้อย ปัก เย็บ ผูก เกี่ยว รูด ซึ่งฝึกประสาทตากับมือให้สัมพันธ์กัน
3.3.5. ของเล่นพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก ใหญ่ เป็นของเล่นที่เด็กได้บีบ เขย่า เคาะ ตี ดึง ลาก จูง ไถ ผลัก เลื่อน ซึ่งเด็กได้ออกกำลังนิ้ว มือ แขน ลำตัวและขา
3.3.6. ของเล่นเลียนแบบและสมมติตามจินตนาการ เป็นของเล่นที่พัฒนาการรับรู้ ความคิดฝันและเลียนแบบของจริง
3.3.7. ของเล่นให้สร้างและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เป็นของเล่นที่ฝึกให้เด็กสร้างตามโครงร่างที่กำหนดให้และสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งที่ตนสนใจ
3.3.8. ของเล่นส่งเสริมประสบการณ์เกี่ยวกับโครงสร้างกลไกของของเล่น เป็นของเล่นที่ส่งเสริมความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์
3.3.9. ของเล่นฝึกการแก้ปัญหาและกล้าแสดงออก (วราภรณ์, 2540)
(โครงการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องการสื่อสารเพื่อสุขภาพ:6)
มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ (2547) ได้จัดทำรายงานผลการศึกษา “การรวบรวมของเล่นพื้นบ้านไทยกับเด็กพิการ” เป็นของเล่นพื้นบ้านที่ได้จากภูมิภาคต่างๆในประเทศไทย จำนวน 67 รายการ จาก 91 ชิ้น จากการรวบรวมพบว่าของเล่นบางชิ้นมีในทุกภาคแต่อาจมีชื่อเรียกแตกต่างกัน โดยได้ศึกษาของเล่นที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัยแรกเกิดถึง 6 ปี และวิเคราะห์จัดหมวดหมู่ของเล่นพื้นบ้านตามทักษะการพัฒนาแต่ละด้านของเก ตามแบบวิเคราะห์การเล่นของ ผศ. นิรมล ชยุตสาหกิจ ที่ได้นำมาปรับให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ดังนี้
- : ของเล่นในหมวดพัฒนาการทักษะกล้ามเนื้อใหญ่ ได้แก่ ครกกระเดื่อง รองเท้าจับเดิน ชักรอก ไม้นวด บั้งโพละ ระนาด ฝักสะบ้า หนังสติ๊ก กรรไกรไม้ แชคแหว่ง รถมูเล่ ที่ฝึกการทรงตัว ไม้เกาหลัง รถกระป๋อง รถเข็น กระแตเวียน รถฝึกเดิน กระดานหก รถยันเท้า ม้าโยก รองเท้าเกี๊ยะ กะลาเดิน หมากกิ้งล้อ ลูกแซก สะนู พัดกาบหมาก ลูกขนไก่ หมาจาก หน้าไม้
-: ของเล่นในหมวดพัฒนาการทักษะกล้ามเนื้อย่อย ได้แก่ กำหมุน กังหัน ไก่จิก คนเลื่อยไม้ คนตำข้าวครกมอง งูไม้ระกำ งูเกี้ยว จักจั่น พัด จานบิน เครื่องบินกระดาษ นกหวีด โหวดนก นกหวีดแม้ว ขลุ่ยชัก ปืนอัดลม ป๋องแป๋ง หนูวิ่ง/กระต่ายวิ่ง/เต่าวิ่ง ลูกข่างสะบ้า หึน แคนแฝด อมรเทพ วัวชน ตุ๊กตาไม้เชือกชัก ป๊อปแป๊ก กับแก๊บ ลูกหวือ กบไม้
- : ของเล่นในหมวดพัฒนาการเรียนรู้ จินตนาการและภาษา ได้แก่ ชุดหม้อแกง/ขนมครก หัวม้า/ชฎา หุ่นมือ ขวานไม้/ดาบไม้ ปลาตะเพียน กบสาน ยกยอ ข้อง กระดานชนวน
3.4 หลักการเลือกของเล่นสำหรับเด็ก
หลักการเลือกของเล่นสำหรับเด็ก ธรรมชาติของเด็กจะมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สภาพแวดล้อมทั้งบุคคลและสิ่งที่อยู่รอบตัว ของเล่นจะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ตนเองตลอดจนสิ่งแวดล้อม พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ความมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกของเล่นดังต่อไปนี้
(พูลสุข 2534:สุขจริง,2547)
3.4.1 วัย ควรเลือกของเล่นให้เหมาะกับวัยและความสนใจของเด็ก เด็กๆนั้นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การเล่นของเด็กก็เช่นเดียวกันโดยจะเปลี่ยนแปลงและเติบโตไปพร้อมๆกับพัฒนาการด้านต่างๆ พ่อแม่ต้องรู้ถึงความสามารถของเด็ก อย่าเชื่อเพียงคำแนะนำของเด็ก อย่าเชื่อคำแนะนำของผู้ผลิต ที่พิมพ์ไว้ข้างกล่องเท่านั้น ของเล่นที่เหมาะในการเล่นควรมีความยากง่ายเหมาะกับระดับอายุ ของเล่นที่ยากเกินไป จะบั่นทอนความสนใจในการเล่นของเด็ก และทำให้เด็กรู้สึกท้อถอยได้ง่าย ส่วนของเล่นที่ง่ายเกินไป ก็ทำให้เด็กเบื่อไม่อยากเล่นได้
3.4.2 พัฒนาการ การเลือกของเล่นให้เด็กต้องคำนึงถึงความสอดคล้องของพัฒนาการการเล่นแต่ละวัย ดังนั้น จึงควรเลือกของเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
3.4.2.1 ช่วยกระตุ้นให้เด็กพัฒนาการทางสติปัญญา เป็นการพัฒนาการรับรู้ การจำแนกการมองเห็นความสัมพันธ์ การเรียงลำดับและส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการที่จะเล่นอย่างริเริ่มสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหา เช่น เป็นสิ่งที่เด็กสามารถดึง ถอด และต่อเป็นรูปต่างๆได้ตามพอใจ เด็กจะรับรู้ส่วนย่อยและแยกสิ่งต่างๆที่เห็นโดยสังเกตสีก่อนรูปร่าง
3.4.2.2 ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวและใช้มือได้อย่างคล่องแคล่ว รวมทั้งช่วยพัฒนาประสาทตาและมือให้สัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นพื้นฐานการเรียนการอ่าน เขียน ต่อไป
3.4.2.3 เลือกของเล่นที่ช่วยให้เกิดพัฒนาการทุกด้านให้สมดุลกัน ไม่ควรเลือกของเล่นที่ส่งเสริมด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ควรเลือกของเล่นที่ผสมผสานระหว่างทักษะและสมองและทักษะทางร่างกายไปพร้อมๆกัน ฝึกการคิด มองเห็น ได้ยินสัมผัสและเคลื่อนไหว เช่น บล็อกไม้ขนาดต่างๆฝึกความคิดสร้างสรรค์และการใช้กล้ามเนื้อมือ
3.4.3 ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาเลือกของเล่น ความปลอดภัยนี้รวมถึงร่างกายและจิตใจ
3.4.3.1 ของเล่นควรทำด้วยวัสดุที่ไม่เป็นพิษภัยต่อเด็ก ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายผสมในเนื้อวัตถุ เช่น สารหนู แคดเมียม สีที่ทาหรือผสมในวัสดุไม่มีตะกั่วเจือปน เพราะอาจมีอันตรายเมื่อเด็กจับต้องบ่อยๆ หรือแผลดูดอม หรือจับต้องเข้าปาก ไม่เป็นวัตถุไวไฟ ไม่ทำด้วยแก้วเพราะอาจแตกเป็นอันตรายต่อเด็ก วัสดุที่ใช้ทำของเล่นควรมีสารที่มีฤทธิ์ลดความเร็วของปฎิกิริยาเคมี นอกจากนี้ไม่ควรมีโลหะแหลมคมเป็นส่วนประกอบ ของเล่นที่ประกอบด้วยเชือก ด้าย ริบบิ้น อาจรัดคอเด็ก จึงควรมีความยาวไม่เกิน 30 เซนติเมตร
3.4.3.2 ขนาดของเล่นจะต้องไม่เล็กเกินไป ใครเล็กกว่าลูกปิงปอง หรือถ้าเป็นของเล่นอิเลคทรอนิคส์ต้องมีแบตเตอรี่ใหญ่พอ เพื่อหลีกเลี่ยงที่เด็กจะกลืนของเข้าปากหรือหยิบใส่รูหู รูจมูกได้ และไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไปจนเด็กยกไม่ไหว
3.4.3.3 ของเล่นควรมีความแข็งแรงทนทาน ไม่ชำรุดแตกหักง่ายการออกแบบต้องประณีต ไม่มีมุมแหลม พื้นผิวของเล่นไม่มีเสี้ยนที่จำตำมือเด็ก ทำความสะอาดง่าย หีบห่อที่บรรจุของเล่น ต้องมีคำอธิบายวิธีการเล่น ควรมีคำเตือนบอกถึงอันตรายอย่างชัดเจน
3.4.3.4 ของเล่นไม่ควรเป็นอันตรายต่อจิตใจและสร้างลักษณะนิสัยที่ไม่ดีแก่เด็ก เช่น น่ากลัว น่าขยะแขยง หรือเลียนแบบอาวุธต่างๆ ที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบการต่อสู้หรือความเหี้ยมโหด ความก้าวร้าว
3.4.4 ราคา คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าของเล่นที่มีราคาแพงเป็นของเล่นที่ดีมีมาตรฐาน จริงแล้วราคามิได้เป็นตัวกำหนดคุณค่าของของเล่นแต่ละชิ้น ประโยชน์ที่ได้รับต่างหากคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องคำนึงถึง มีกิจกรรมหลายอย่างที่เด็กเล่นและเรียนได้โดยไม่ใช้ของเล่นที่ต้องเสียเงินซื้อ เช่น กระจกเงา น้ำ แก้วนิตยสารเก่าๆ แม้แต่ฟังแม่ร้องเพลง แต่บางครั้งพ่อแม่ก็ต้องยอมจ่ายเงินมาก ถ้าซื้อของเล่นชิ้นนั้นมีประโยชน์ต่อเด็ก คุ้มค่ากับราคา
3.4.5 ประสิทธิภาพ ของเล่นนั้นควรใช้ประโยชนได้หลายอย่าง หรือนำมาดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้หลายโอกาส และทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และความเลือกของเล่นที่เล่นรวมกันได้มากกว่าเล่นคนเดียว เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม(โครงการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องการสื่อสารเพื่อสุขภาพ:10)

4. ข้อมูลพื้นฐานของเด็กปฐมวัย
4.1 ความหมายของเด็กปฐมวัย

“เด็กปฐมวัย” ตามความหมายที่สำนักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (สำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาแห่งชาติ รว. 20/2522 : 8 ) ได้ให้คำนิยามศัพท์ไว้ว่า หมายถึง
1. เด็กที่อยู่ในศูนย์โภชนาการเด็ก หรือสถาบันเลี้ยงเด็กกลางวัน หรือศูนย์พัฒนาการเด็กเล็กหรือที่เรียกว่าศูนย์เด็กก่อนวัยเรียนที่ตั้งขึ้นเพื่อจะเลี้ยงดูเด็กก่อนที่จะเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1
2. เด็กที่เรียนในชั้นอนุบาล 1 และ 2 ในโรงเรียนอนุบาลของรัฐบาลละของเอกชน รวมทั้งเด็กที่เรียนในชั้นอนุบาล 1 และ 2 ในโรงเรียนอื่นใดที่เปิดสอนชั้นอนุบาล 1 และ 2 หรือชั้นเด็กเล็กที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน ซึ่งทั่วไปเด็กจะมีอายุประมาณ 3-6 ปี (เยาวพา เดชะคุปต์,2542:7)
4.2 รูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก
รูปแบบการเรียนรู้ของเด็กเล็ก เด็กเรียนรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
1. การเรียนรู้รับรู้โดยใช้ความสามารถในการใช้สายตา การมองเห็นความแตกต่าง ความเหมือน สี ขนาด รูปร่าง การทำงานประสานกันของสายตา กล้ามเนื้อมือ เด็กสามารถลอดเลียนแบบโดยการลากเส้น การจดจำภาพที่มองเห็นและเรียงลำดับเหตุการณ์
2. การรับรู้อันเกิดจากการได้ยินได้ฟัง สามารถรู้ที่มาของเสียง แยกแยะความเหมือน ความแตกต่างของเสียงได้ ฟังคำสั่งรู้เรื่องปฏิบัติตามคำสั่งได้
3. การเรียนรู้ด้วยมโนทัศน์ กระบวนการคิดความเป็นไป ความสามารถในการจัดหมวดหมู่ จำแนกประเภท ความสามารถในการคิดหาเหตุผล ความสามารถในการเรียงลำดับ ความสามารถในการหาเหตุผล
4. การรับรู้ด้วยการใช้ส่วนต่างๆของร่างกาย อันเกิดจากากรสัมผัส การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของกล้ามเนื้อ ร่างกาย ลำตัว
5. การรับรู้ เรียนรู้ด้วย การสัมผัส จากการลิ้มชิมรส และดม
ฉะนั้นเมื่อจะจัดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ของเด็กวัย 2-6 ปีจึงจำเป็นต้องมีการสังเกตพฤติกรรมด้านต่างๆ ของเด็ก แล้วนำมาจัดสื่อวัสดุ อุปกรณ์ ให้เป็นสื่อการเรียนเพื่อการเรียนรู้ของเด็ก โดยให้เด็กได้สัมผัสทางด้านต่างๆ ตามรูปแบบการเรียนรู้ดังกล่าว (ฉวีวรรณ จารุกาญจน์ 2528:16)
4.3 ความหมายของการเล่น
ของเล่นและการเล่นเป็นสิ่งของคู่กันซึ่งเป็นสิ่งธรรมชาติสำหรับเด็กที่จะต้องมีการเล่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตในวัยเด็ก การเล่นของเด็กนี้มีผลต่อการเลี้ยงดูอบรมให้เด็กเจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ทั้งทาง ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และทางสติปัญญา เพราะเด็กจะเรียนรู้จากการกระทำ ในสิ่งที่เขาเล่นหรือปฏิบัติเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการในตนเองควบคู่ไปด้วย
นิรมล ชยุตสาหกิจ (2527: 13-18) ได้กล่าวว่า นักจิตวิทยาสาขาต่างๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการเล่นของเด็ก และมักจะมีส่วนหนึ่งของทฤษฎีที่กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ อธิบายไว้ในแนวต่างๆ ว่าทำไมเด็กจึงเล่น
การเล่น เป็นการกระทำที่เป็นผลรวมของพฤติกรรมทั้งหมดของเด็ก เป็นการปรับตัว เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจนั้นเข้าไปเก็บสะสมไว้ในโครงสร้างทางสติปัญญา เพื่อปรับขยายโครงสร้างเดิมให้กว้างใหญ่ขึ้น อันเป็นการเตรียมพร้อมที่จะรับการเรียนรู้ขั้นต่อไปอีก
(ยุพา คงดิศ, 2537:2)
โคเฮน และรูดอล์ฟ (Cohen & Rudolph. 1977 : 100-101)ได้รวบรวมความหมายของการเล่นที่มีผู้กล่าวไว้ดังนี้
มาร์กาเร็ต โลเวนเฟลด์ (Margaret Lovenfeld) ได้กล่าวถึงความหมายของเล่นของเด็กก่อนวัยเรียนเอาไว้ในหนังสือ ชื่อ “ Play in Childhood ” ได้ดังนี้
- การเล่น คือ การกระทำกิจกรรมทางร่างกาย
- การเล่น คือ การได้ประสบการณ์ซ้ำ
- การเล่น คือ การแสดงออกซึ่งความเพ้อฝัน
- การเล่น คือ การเข้าใจถึงสิ่งแวดล้อม
- การเล่น คือ การเตรียมการเพื่อชีวิต
ฮาร์ทลี แฟรงค์ และโกลเดนสัน (Hardley Frank &Glodenson) ได้ศึกษาการเล่นและสรุปว่า การเล่นควรมีบทบาทต่างๆกัน 8 ประการ คือ
- เป็นการเลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่
- เป็นการแสดงบทบาทในชีวิตจริงออกมาโดยวิธีการที่เข้มข้น
- เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์และประสบการณ์
- เป็นการแสดงออกถึงความต้องการ
- เป็นการลดความต้องการที่ไม่เหมาะสม
- เป็นการแสดงออกบทบาทที่ไม่สมควรแสดงออก
- เป็นกระจกเงาของพัฒนาการ
- เป็นการแก้ปัญหาและทดลองหาวิธีแก้ปัญหา
4.4 คุณค่าของการเล่น
เปียเจต์ (เยาวพา เดชะคุปต์.2542:22; อ้างอิงมาจาก Piaget. n.d.) กล่าวเอาไว้ว่า การเล่นเด็กจะสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆจากสิ่งเร้าได้ และขณะที่เด็กตอบสนองสิ่งเร้า เขาจะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ เข้ามาในสมอง เปียเจต์ยงได้พูดถึงการเล่นเอาไว้ 3 ประการ คือ
1. บทบาทของการเล่น
2. การเล่นช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม
3. การเล่นเป็นการเรียนรู้ทางสังคม
4.5 ประโยชน์ของการเล่น
แรมซี่ และเบลย์เลส (Ramsey & bayless. 1980 : 51-54) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการเล่น เอาไว้ดังนี้
4.5.1 การเล่นจะส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย (Play promoters physicai growth) เด็กจะเรียนรู้ที่ควบคุมร่างกาย ดังเช่น ความสามารถในการโยนรับลูกบอลจะพัฒนาขึ้นและกระทำได้ เด็กควรมีโอกาสได้วิ่ง กระโดด ปีนป่าย กิจกรรมต่างๆเหล่านี้จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อเล็กและใหญ่
4.5.2 การเล่นจะให้โอกาสเด็กได้พัฒนาด้านพละกำลัง (Play provides children with a sense of power) เด็กจะเป็นผู้ใช้สภาพแวดล้อม เด็กจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีความหมายและเป็นจริง เมื่อเด็กได้รับประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จจากการเล่นเด็กจะมีความเชื่อมั่น มีความรู้สึกว่ามีพลังและมีความคิดริเริ่ม
4.5.3 การเล่นช่วยพัฒนาการแก้ปัญหา (Play nuryures problem solving) จากการเล่น เด็กจะเรียนรู้ที่จะแยกแยะสำหรับวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการแก้ปัญหา
4.5.4 การเล่นช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ ( play fosters emotional growth) การเล่นช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เช่น อารมณ์กลัว วิตกกังวล สนุกสนาน ความหลัง ฯลฯ สามารถสร้างขึ้นขณะเล่นเกม โดยการแสดงออกซึ่งความรู้สึกต่างๆทั้งที่เป็นประสบการณ์ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ
4.5.5 การเล่นให้โอกาสเกิดความคิดรวบยอด ( Play provides an opportunity to acquire concepts) กิจกรรมและประสบการณ์ในเด็กเล็กควรเป็นประสบการณ์ในการหาข้อเท็จจริงและเกิดความคิดรวบยอด ซึ่งจะเข้าใจได้ดีเมื่อมีการลงมือปฎิบัติ
4.5.6 การเล่นเปิดหนทางสู่การแสดงบทบาทและส่งเสริมการแสดงออกเฉพาะตน
(Play a means for playing out roles and encourages self expression) ในการเล่นบทบาทเด็กจะรู้สึกเป็นอิสระจากการรบกวนของผู้ใหญ่ เขาจะสามารถสมมุติและแสร้งทำบทบาทของผู้ใหญ่และสัตว์ต่างๆ ทั้งที่เป็นรื่องจริงและเรื่องสมมุติ การเล่นและความเพ้อฝันเป็นชีวิตและความต้องการของเด็กซึ่งควรให้โอกาสเด็กได้แสดงออก
ประโยชน์ของการเล่นของเยาวพา เดชะคุปต์
- ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านต่างๆ ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
- ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กโดยเฉพาะ การเล่นเป็นการจัดการศึกษาอย่างหนึ่ง
- ช่วยสนองความต้องการของเด็ก เพราะเมื่อเด็กต้องการที่จะเล่นจะได้แสดงออก ระบายอารมณ์ อันเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด (เยาวพา เดชะคุปต์ 2546:19-22)
4.6 พฤติกรรมการเล่นของเด็กปฐมวัย
ซัททัน สมิทธ์ ( Sutton Smith. 1972 อ้างอิงจาก เลขา ปิยะอัจฉริยะ คณะทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องเล่นของเด็ก. 2524 : 19-21) ได้แยกพฤติกรรมการเล่นออกเป็น 4 แบบ คือ
4.6.1 การเลียนแบบ (Imitation) เป็นการสะท้อนให้ผู้อื่นทราบถึงการรับรู้สิ่งแวดล้อมต่างๆของผู้เล่นในด้านที่เกี่ยวตัวผู้เล่นหรือเด็ก การเลียนแบบช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้สิ่งรอบตัวต่างๆ ที่ได้รับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัส แต่ยังไม่อาจเข้าใจความหมายในทันทีที่รับรู้
4.6.2 การสำรวจ (Exploration) ความสนใน ความสงสัย และความกระตือรือร้นใคร่รู้ในสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นคุณสมบัติประจำวัยของเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 3-6 ปี เป็นรากฐานของการเล่นแบบสำรวจ ในการเล่นแบบสำรวจเด็กจะได้ใช้ประสาทความรู้สึกของเขามากกว่าเพียงการได้สัมผัสจับต้องดูเฉยๆ เด็กจะจับจี้ไชของเล่น กลิ้งมันไปมา ลองตบ ลองดูดดู ฟังว่าเสียงมาจากส่วนไหนจากการเล่น แล้วค้นหาต้นเหตุที่มาของเสียงด้วยการแกะของเล่นออกมาดู
4.6.3 การทดสอบ (Testing) ในการเล่นแบบทดสอบเด็กจะอาศัยความรู้ใหม่ที่ได้จากการสำรวจและความรู้เดิมจากประสบการณ์ที่คุ้นเคยเป็นรากฐาน สิ่งที่เด็กได้สำรวจและศึกษาแล้ว จะเป็นอุปกรณ์ที่เด็กนำมาเล่น เพื่อทดสอบดุว่า คุณสมบัติของการเล่นและวิธีการเล่นที่วางไว้จะเป็นไปตามที่เขาคิดไว้หรือไม่ อย่างไร ถ้าเอาแท่งไม่สี่เหลี่ยมมาตั้งเป็นรูปต่างๆ จะได้เป็นรูปอะไรบ้าง ตั้งได้สูงตามที่คิดที่ต้องการหรือไม่ เป็นต้น
4.6.4 การสร้าง (Construction) หมายถึง การที่ผู้เล่นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อมในลักษณะต่างๆ เช่น การจัดทำของเล่นโดยเอาก้านกล้วยมาหักส่วนบนลง ตกแต่งทำหัวแล้วขี้เล่น การสร้างสถานการณ์เล่นโดยการสร้างเรื่องและเล่นตามเรื่อง การวางกฎเกณฑ์การเล่น โดยกำหนดบทบาทของผู้เล่นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงจากของเดิม เป็นต้น (เยาวพา เดชะคุปต์,2542:28-29)
พฤติกรรมการเล่นของเด็ก (โครงการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องการสื่อสารสุขภาพอ้างอิงมาจาก สุขจริง,2547)
เด็กอายุแรกเกิด – 1 ปี เด็กวัยนี้จะเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัส การมองเห็น และการได้ยินการแขวนของเล่นที่สดใส แกว่งไกว แล้วมีเสียงกรุ๊งกริ๊งช่วยให้เด็กกรอกสายตา ฝึกการมองเห็นและการฟังได้สังเกตความเคลื่อนไหว เมื่อเด็กสามารถบังคับใช้กล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวแขน ขา มือ เด็กจะคว้าจับและสนใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ของเล่นที่เด็กวัยนี้ชอบ คือ ของเล่นที่ถือได้ มีสีสดใส และมีเสียง เด็กวัยนี้ชอบเอาของเล่นเข้าปากอม
เด็กอายุ 1-2 ปี เด็กวัยนี้เริ่มต้นได้ด้วยตนเอง แต่ไม่มั่นคงนัก ชอบเกาะเครื่องเรือน เดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ฝึกการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อต่างๆ ของเล่นสำหรับเด็กวัยนี้ควรเป็นประเภทที่ลากจูงไปมาได้ เช่น รถไฟ หรือรถลากต่อๆ เด็กจะสนุกกับสิ่งใหม่ๆ ที่พบเห็น ชอบปีนป่ายขึ้นบันได มุดใต้โต๊ะ เล่นน้ำ และเล่นทราย พ่อแม่ต้องช่วยดูแล และระมัดระวังความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด
เด็กอายุ 2-4 ปี เด็กวัยนี้อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้นและทรงตัวได้ดี เพราะกล้ามเนื้อแขนขาแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ชอบการเล่นที่ออกแรงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเล่น กระโดด ปีนป่าย ม้วนกลิ้ง เตะขว้างลูกบอล และขี่จักรยานสามล้อ เป็นการฝึกกล้ามเนื้อใหญ่ให้แข็งแรง และเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงขึ้น เด็กสามารถเล่นของเล่นที่ใช้นิ้วมือ หยิบจับหรือหมุนได้
เด็กอายุ 4-6 ปี เด็กวัยนี้มีความพร้อมด้านต่างๆมากขึ้น การเคลื่อนไหวของร่างกายคล่องแคล่วขึ้น ชอบเล่นกลางแจ้ง กับเคลื่อนเล่นสนาม และเครื่องเล่นที่มีลูกล้อขับเคลื่อนได้ สามารถเล่นของเล่นที่ใช้นิ้วมือจับได้ดีขึ้น เด็กพอใจที่จะเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่มมากขึ้น ชอบเล่นเลียนแบบชีวิตในบ้านและสังคมสิ่งแวดล้อม (สุขจริง,2547) (โครงการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องการสื่อสารเพื่อสุขภาพ:11)